Home เรื่องเล่าตอนเข้าค่าย ประสบการณ์ เด็กนักเรียน ร.ร.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ที่เข้าค่ายอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ระหว่างวันที่ 19 - 23 ตุลาคม 2555
ประสบการณ์ เด็กนักเรียน ร.ร.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ที่เข้าค่ายอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ระหว่างวันที่ 19 - 23 ตุลาคม 2555
Friday, 23 November 2012 08:30

 

ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ  วัดวะภูแก้ว

 

 อยากรีบกลับบ้านเพราะอะไร


           ตอนนั่งสมาธิ  ข้าพเจ้าเห็นภาพครอบครัวตัวเองที่เคยมีความสุข  แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าดื้อขึ้น  เกเรมาก  ไม่เข้าเรียน   ครูเชิญผู้ปกครองไปพบ   ทำให้พ่อแม่ร้องไห้   น้ำตาของข้าพเจ้าก็ไหลออกมาเอง   จนเพื่อนออกจากสมาธิ   ข้าพเจ้าก็ยังนั่งร้องไห้อยู่   พอออกจากสมาธิข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกผิด   คิดว่าตัวเองคงบาปมากที่ทำให้พ่อแม่ร้องไห้หลายครั้ง    ข้าพเจ้าคิดถึงท่านมาก   โทรหาท่านทุกวันที่อยู่ที่นี่   ทั้งที่เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่เคยสนใจเลย    การมาเข้าค่ายครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีสติ   ได้สำนึก   อยากรีบกลับไปกราบเท้าพ่อกับแม่เหลือเกิน จึงอยากรีบกลับบ้าน   และเมื่อกลับบ้านไปเห็นหน้าพ่อกับแม่   ข้าพเจ้าต้องกราบเท้าท่านให้ได้  แม้จะเย็นแค่ไหนก็ตาม   เพราะข้าพเจ้าไม่เคยทำเลย  และกลับไปจะปรับปรุงตัวใหม่  จะทำตัวให้ดีขึ้น

นางสาวนิรมล  สุดสายเนตร  ชั้น ม.5/3
โรงเรียนลำปลายมาศ      จ.บุรีรัมย์
เขียนไว้ ณ วันที่  23  ตุลาคม  2555


  


รอแม่มาทั้งชีวิตแล้วทำไมไม่คิดบอกรัก


           ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตไม่เคยรู้สึกผิดอะไรมากขนาดนี้  เพราะการอบรมครั้งนี้ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น   ตอนข้าพเจ้าเกิดมาไม่เห็นหน้าแม่   แต่ก็ไม่เคยเป็นปมด้อยในชีวิตข้าพเจ้าเลย   เพราะข้าพเจ้าได้รับความอบอุ่นจากคนรอบข้างมากมาย  ย่า, พ่อ,  ลุง  คำว่า “กำพร้า”  จึงไม่เคยเป็นปมด้อยของข้าพเจ้าเลย    จนข้าพเจ้าอายุ 15  จึงเกิดสงสัยและอยากทราบเหตุผลว่าทำไมแม่ทิ้งหนูไป   เพราะเกิดมาก็เรียกย่าว่าแม่มาโดยตลอด    ข้าพเจ้าจึงแอบเขียนจดหมายถึงแม่ตามที่อยู่ในใบเกิดโดยไม่รู้ว่าคนที่เราโหยหาและรอคอยท่านมาทั้งชีวิต  และเก็บไว้คนเดียวจะได้รับจดหมายหรือเปล่า   จนวันที่ 2 มกราคม 2554    ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเรียกข้าพเจ้าอยู่หน้าบ้าน   พอข้าพเจ้าออกไปดู   ผู้หญิงคนนั้นเห็นข้าพเจ้า  ก็เข้ามากอดและร้องไห้   พูดกับข้าพเจ้าว่า  “แม่ไงลูก”   ความรู้สึกตอนนั้นข้าพเจ้าอึ้งและนิ่งไป    นับตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมา 13 ปี   แม่ไม่เคยส่งข่าวมาเลย  พอเจอท่านแล้วข้าพเจ้าก็ถามคำถามที่ตั้งไว้ในใจมาโดยตลอดว่า  “แม่ทิ้งหนูไปทำไม”   แม่ไม่ตอบได้แต่อึ้ง   แต่ที่ข้าพเจ้ารู้สึกผิดคือ เมื่อข้าพเจ้าเจอแม่แล้วทำไมข้าพเจ้าไม่เคยบอกรักแม่เลย   หลังจากการอบรมครั้งนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปบอกว่ารักแม่ และดูแลท่านให้มากกว่าเดิม เพราะท่านมีพระคุณมากและเป็นสิ่งที่มีค่ามากในชีวิตหนู

นางสาวสุชาวดี  รัตนนท์  ชั้น ม.5/3
โรงเรียนลำปลายมาศ      จ.บุรีรัมย์
เขียนไว้ ณ วันที่  23  ตุลาคม  2555

  

  

  


สุขแท้จริงอยู่ที่ไหน


           มาถึงวัดวันแรกรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ  จนทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า  การที่เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดความสุขทางใจนั้น   ต้องทรมานขนาดนี้เลยหรือ   ทั้งปวดขา  คอแห้ง   ปวดไปหมดทั้งตัว   พอถึงวันที่สองข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่าปวดเมื่อยเหมือนเดิม   แต่ก็น้อยกว่าวันที่แล้ว   วันที่สามอาจารย์ผู้อบรมบอกว่า  เป็นวันที่หลายๆ คนนั่งสมาธิแล้วประสบผลสำเร็จมากที่สุด    แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย  รู้สึกปวดเมื่อยมากกว่า   จึงมานอนคิดดู และรู้ว่า  ข้าพเจ้านั้นไม่ได้ดูที่จิต   แต่ดูที่กายหยาบต่างหาก  จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปวดเมื่อย   เมื่อถึงวันที่ สี่  ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเบาสบายและมีความสุข  เพราะดวงจิตข้าพเจ้าสงบ  ข้าพเจ้ารู้สึกร่างกายขยายสูงขึ้น   บางครั้งก็รู้สึกว่าน้ำตาไหล  ทั้งที่ไม่มีน้ำตาสักหยด   ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอยู่บนยอดเขา  ท่ามกลางต้นไม้เล็กใหญ่  สักพักข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นว่า  หากมัวแต่หลงระเริงกับความสุข  จิตอาจหลงทางจนหาทางกลับไม่ได้   ข้าพเจ้าจึงถอนจิตพร้อมเพื่อน ๆ  ข้าพเจ้าจึงรู้สึกได้ว่า  หากข้าพเจ้าไปต่อยอด  อาจจะพบความสุขที่แท้จริงก็ได้   แต่เมื่อ ดร.ดาราวรรณ  มาบรรยายเรื่องภพภูมิ  ข้าพเจ้าแปลกใจว่า  ทำไมหลาย ๆ คน จึงเลือกที่อยากจะอยู่ในสุคติภูมิ   ทำไมไม่เลือกอยู่ในแดนนิพพาน   ทั้งที่แดนสุคติภูมินั้น ถึงจะมีความสุขก็จริงแต่ก็ยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง   พอถึงวันสุดท้าย  ข้าพเจ้าก็ยังคิดว่าหากข้าพเจ้ากลับบ้านไปแล้ว จะได้ปฏิบัติเจริญสมาธิภาวนาเช่นนี้หรือไม่    แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากคนเราคิดจะทำแล้วยังไงก็ต้องทำได้  ต้องขอขอบคุณอาจารย์ และวัดวะภูแก้ว ที่ให้พื้นฐานในการทำสมาธิ และข้าพเจ้าสัญญาว่า จะนำประสบการณ์ในครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด  และอยากชวนทุก ๆ คนที่ยังไม่เคยมา  ให้มาปฏิบัติธรรมที่วัดวะภูแก้วนี้ด้วยค่ะ


นางสาวอุทุมพร  บุตรดีขันธ์  ชั้น ม.5/1
โรงเรียนลำปลายมาศ      จ.บุรีรัมย์
เขียนไว้ ณ วันที่  23  ตุลาคม  2555

  

 

ได้ความสุขแถมด้วยบุญ


          หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะมาหรอกค่ะ    หนูถูกครูบังคับ  หนูคิดว่าที่นี่มันคงน่าเบื่อมากๆ  กลับไปก็คงจะไม่ได้อะไรหรอก    วันๆ ก็แค่สวดมนต์  นั่งสมาธิ   ไม่มีกิจกรรมอย่างอื่นทำสนุก ๆ แต่ความคิดที่มีอคตินั้นก็หมดไป   เพราะได้คิดว่าทุก ๆ อย่างที่เราคิดจะทำไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้   ต้องเริ่มทำเสียตั้งแต่วันนี้   ตอนนี้ผลของการทำสมาธิ  ปฏิบัติตามศีล   ผลของมันก็ไม่ได้ไปเกิดกับใครคนอื่น  นอกจากตัวหนูเองที่ได้    สิ่งที่หนูได้รับจากการปฏิบัติธรรมมา 5 วัน   ทำให้หนูได้  “จิตที่สงบ  สมาธิที่ตั้งมั่น”  มีของแถมด้วยนะคะ คือ ได้ “บุญ”  กลับไปฝากพ่อแม่ด้วยค่ะ

  


          นี่แหละความสุขทางใจ  “ขนานแท้”  ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ

นางสาวชฎารัตน์  ชุบรัมย์  ชั้น ม.5/4
โรงเรียนลำปลายมาศ      จ.บุรีรัมย์
เขียนไว้ ณ วันที่  23  ตุลาคม  2555

 

  

ขอเอาหัวแนบใต้ฝ่าเท้าพระอรหันต์ของลูก


           หนูเป็นเด็กคนหนึ่งที่ใคร ๆ  ซึ่งไม่รู้จักดีก็พากันมองแต่ภายนอกว่า  คงเป็นคนเก่งช่วยงานพ่อแม่เป็นอย่างดี   ตั้งใจเรียน   แต่ในความจริงแล้ว  หนูก็เป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง  นิสัยไม่ดีเลยด้วยซ้ำ   จิตใจมุ่งหวังอยากเป็นครูสอนภาษาจีน  อยากทำงานที่สบายพ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วงมาก พ่อแม่มักพูดอยู่เสมอว่า    หนูเป็นคนอ่อนแอ  จิตใจไม่เข้มแข็ง  อยู่คนเดียวไม่ได้  พ่อกับแม่จึงเป็นห่วงมาก   หนูเป็นคนเอาแต่ใจ  ทั้ง ๆ ที่ฐานะก็ไม่ได้ดีอะไรเลย

  


           ตอนเด็ก ๆ  พ่อทำงานอยู่ต่างจังหวัด   แม่อยู่บ้านของพ่อและเลี้ยงลูกๆ 3 คนโดยลำพัง   นานๆ  พ่อจะกลับมาทีหนึ่ง   กลับมาก็อยู่แค่ 3-4 วัน   แล้วกลับไปทำงานต่อ    แม่เลี้ยงลูกตั้ง 3 คน   เงินทองของใช้ที่เคยมีก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ   แม่อยากพาพวกหนูไปอยู่กับยายกับตา  แต่ไปไม่ได้    คนที่หมู่บ้านนี้ส่วนมากใจดำกับแม่   แม่ก็เลย  รวมเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดเพียงไม่กี่ร้อย  มาคิดทำมาหากิน   แม่ตื่นแต่เช้า   อุ้มลูกน้อยมาโบกรถไปตลาด    คิดว่าถ้ามีคนใจดีผ่านมา  เขาคงให้เราไปด้วย   บางวันก็ต้องรออยู่นานมาก   บางทีจนเกือบรุ่งสาง  แต่แม่ก็อดทน    พอไปถึงแม่ก็ซื้อโครงไก่  แป้ง  เครื่องปรุง   แล้วก็ขึ้นรถ 2  แถวกลับบ้าน   ดูหน้าแม่แล้วคิดว่า แม่คงเหนื่อย   พอกลับมาถึงบ้านแม่ก็ทอดโครงไก่หาบขายตามหมู่บ้าน  คนใจดีเขาเห็นเขาสงสารเขาก็พากันช่วยซื้อ   หากเหลือกลับบ้านแม่ก็จะเอาโครงไก่ทอดพวกนั้นให้หนูกับพี่น้องกิน   แต่ไม่ค่อยเห็นแม่กินเลย  แม่ป้อนแต่หนูกับน้อง  ส่วนพี่สาวก็โตกว่าหนู 6 ปี   ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าแม่ลำบาก   บางวันก็มีเงินอยู่ทั้งบ้านแค่ 16 บาท   ไปรับแจกข้าวเขากิน   ทั้ง ๆ แต่ก่อนเราลำบาก   แต่แม่ก็บอกว่ายังมีคนลำบากกว่าเราอีกมาก

  


           พอ ป.4  บ้านไม่ค่อยมีความสุขถูกคนรอบข้างเอาเปรียบ   พ่อก็เลยรวบรวมเงินพาเข้ามาอยู่ในเมือง   เปิดร้านอาหารเล็กๆ   แต่เรามีแค่รถจักรยานยนต์คันเดียว   ทุกเช้าพ่อจะขับรถไปส่งหนู จากบ้านใหม่ถึงโรงเรียนระยะทาง 9 กิโลเมตร  บางวันฝนตกหนัก  พ่อจะเอาตัวบังฝนให้   พ่อหนาวสั่นแต่หนูกับน้องไม่เปียกเลย    ฤดูฝนพ่อป่วยบ่อยมาก    พอโตขึ้นมาหน่อย หนูก็เริ่มติดเพื่อน   เพื่อนคนนี้เรียนเก่งแต่เห็นแก่ตัว   หนูคิดว่าเขาดี    พอหนูกับเขาเลิกเป็นเพื่อนกัน   เขาทำให้หนูอายเพื่อนคนอื่นจนทนไม่ได้กลับมาบ้านมาร้องไห้    หนูไม่มีเพื่อนเล่นด้วยเลย   แม่เห็นแม่ก็ถามว่าหนูเป็นอะไร    แล้วแม่ก็ปลอบใจ    มีแต่แม่กับพ่อที่คอยให้กำลังใจเวลาหนูเสียใจ  แต่เวลาที่หนูมีความสุข  หนูไม่ได้มีความสุขกับพ่อกับแม่หนู   หนูปล่อยให้ท่านลำบาก

  


           พอมาถึงวัดวะภูแก้ว    หนูมาสำนึกบาปของตัวเอง   หนูทำให้พ่อแม่น้อยใจจนร้องไห้   หนูทำผิดกับท่านหลายเรื่องที่น่าละอายมาก   ขอบคุณคณะครูทุกท่านที่ทำให้หนูได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่   ได้รู้ในสิ่งที่สมควรทำในกาลต่อไป   หนูจะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวหนูเองให้ดีขึ้น

  


           หนูตั้งใจว่า   กลับไปถึงบ้าน  จะไปกราบพ่อกับแม่  บอกรักท่าน แล้วเอาเท้าของพระอรหันต์ของลูกมาทาบที่หัวของเราเพื่อความเป็นสิริมงคล  และขอขมาท่าน


นางสาวเกศรา  เกตุไธสง  ชั้น ม.5/1
โรงเรียนลำปลายมาศ      จ.บุรีรัมย์
เขียนไว้ ณ วันที่  23  ตุลาคม  2555

  

 


A 4 แผ่นเดียวไม่พอเขียน


          ก่อนจะมาปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าคิดว่า  “ปิดเทอมแค่ไม่กี่วัน  แล้วนี่จะเอาเวลาพักผ่อนของฉันไปอีกตั้ง 5 วัน เชียวหรือ   ไปเข้าค่ายธรรมะก็คงจะได้แค่สมาธิเพิ่มขึ้น  แล้วก็นั่งสวดมนต์แค่นั้น   ทำไมต้องไปที่นั่นด้วย”   และเมื่อได้เริ่มเข้าอบรมนั้น   ข้าพเจ้าก็เข้าใจและมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดนั้นมันไม่ผิดเลยแถมยังนอนดึกแล้วตื่นเช้าอีก  มันช่างทรมานเหลือเกิน...   แต่แล้ว ความคิดของข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนในวันที่ 2 ของการอบรมนี่เอง  ในการทำกิจกรรม  ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ  สวดมนต์  ฟังบรรยาย    ข้าพเจ้าคิดว่า  “ไม่อยากกลับบ้านเลย  ทำไมไม่อบรมให้นานกว่านี้”

  


          ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้ายของการอบรม   สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับมามันช่างมากมายเหลือเกิน   ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ   ข้าพเจ้าก็นั่งได้นานมากกว่าทุกครั้งที่เคยทำ   มีความพยายาม  ความอดทน   ความตั้งใจมากขึ้น   เข้าใจศาสนาพุทธมากขึ้น   ได้รู้ว่าบุญคุณของพ่อแม่นั้นมีมากเหลือคณานับ  และอื่นๆ อีกมากมายใช้กระดาษ A 4 แผ่นเดียวยังไงก็ไม่พอแน่ ๆ

  


          ข้าพเจ้านั้นเป็นเด็กดีมาตลอด  การเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้   แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมในวันปิดอบรมธรรมะนั้น  ข้าพเจ้ากลับทำความดีให้มากก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีก  และข้าพเจ้าก็เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาที่วัดวะภูแก้วแห่งนี้แล้ว  จะต้องมีความคิดว่าอยากมาอีก และเป็นคนที่ดีกว่าเดิมทุกคนแน่ ๆ  เพราะที่วัดวะภูแก้วนั้นให้อะไรเราหลายอย่างมากกว่าที่คิดแน่นอน

นางสาวปิยมาภรณ์  ทองเขียว  ชั้น ม.5/1
โรงเรียนลำปลายมาศ      จ.บุรีรัมย์
เขียนไว้ ณ วันที่  23  ตุลาคม  2555



Last Updated on Friday, 23 November 2012 08:47
 

ค้นหา (พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา แล้วกดปุ่ม Enter)

ร้านจักรวาลอ๊อกซิเย่น

Banner

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

Banner

เข้า Facebook ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดวะภูแก้ว

Banner

แห่เทียนพรรษา 2558

Banner

ฐานิยปูชา 2556

Banner

www.thaniyo.net

Banner

ฐานิยปูชา 2555

Banner

เชิญชม วิดีโอ การแสดงธรรมของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

วัดป่าสาลวัน

Banner

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

palungdham.com

Banner

ฐานิยปูชา 2553

Banner

สำรวจความคิดเห็น

เหตุผล สำคัญที่สุด ในการเข้ารับการอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ?
 

แบบสำรวจความคิดเห็น

วัดวะภูแก้วควรปรับปรุงเรื่องใดมากที่สุด
 

แบบสำรวจ

พระสงฆ์ในทัศนะของท่าน ?
 

โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านได้ที่สมุดเยี่ยม

Banner