Home เรื่องเล่าตอนเข้าค่าย เมื่อคนนอกศาสนามารับใช้พระพุทธศาสนา
เมื่อคนนอกศาสนามารับใช้พระพุทธศาสนา
Friday, 07 August 2009 14:42

เมื่อคนนอกศาสนามารับใช้พระพุทธศาสนา

โดย  ดร. ดาราวรรณ  เด่นอุดม
บารมีพระศาสนา
ชีวิตของข้าพเจ้ารอดพ้นความตายมาได้อย่างเหลือเชื่อก็เพราะบารมีของพระพุทธศาสนา เมื่อองค์หลวงตามหาบัวได้เมตตาต่อชีวิตให้ ด้วยเหตุผลว่า “คนๆ นี้เขาเป็นกำลังหลักของพระศาสนา”  ( อ่านรายละเอียดได้จาก  “หลวงตา...วัดป่าบ้านตาด ๑ฯ”  หน้า  ๔๒๓  “ความอัศจรรย์มีจริง” )
คำพูดของหลวงตาข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ได้ยินกับหูของตัวเอง เพราะช่วงนั้นหมดสติและอาการอยู่ในขั้นโคม่า  ท่านปิ๋วได้เล่าให้ฟังในภายหลัง ต่อมาจึงได้ยินด้วยตัวเองที่สวนแสงธรรมในคืนหนึ่ง  หลังจากฟังเทศน์เสร็จ ผู้คนกลับเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเพียง ๗-๘ คน  ข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบเรียนท่านว่าจะกลับโคราชแล้ว  ท่านชี้มาที่ข้าพเจ้า แล้วพูดกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ว่า  “คนนี้เขาเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนานะ  สำคัญมากด้วย เป็นด็อกเตอร์ด้วย แล้วยังมาช่วยงานพระศาสนา”
คำพูดของหลวงตาไม่ได้ทำให้จิตของข้าพเจ้าฟูด้วยความลิงโลดหลงตัวเองแต่อย่างใด หากแต่ทำให้มีกำลังใจที่จะมุ่งหน้ารับใช้พระศาสนาโดยไม่หวั่นไหวต่อปัญหาอุปสรรคทั้งปวง  แต่อีกจิตหนึ่งนึกสงสัยอยู่ว่าหลวงตาทราบได้อย่างไรว่างานหลักในชีวิตของข้าพเจ้าคืองานรับใช้พระศาสนา เพราะเท่าที่นึกได้ ข้าพเจ้าแทบไม่เคยมีโอกาสได้กราบเรียนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที  ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน ก็มักจะกราบเรียนถามเกี่ยวกับการภาวนา (ซึ่งแม้โอกาสเช่นนี้ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งและไม่ได้สนทนานานนัก รีบถามรีบจบ และหลวงตาก็ตอบสั้นๆ รีบตอบรีบจบเหมือนกัน ไม่ยืดเยื้อแต่อย่างใด)
นึกทบทวนคำพูดของหลวงตาและชีวิตการทำงานด้านพระศาสนาของข้าพเจ้าแล้ว ก็นึกแปลกใจในชะตาชีวิตของตัวเอง  เหมือนชะตากรรมเล่นตลก ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องรับบทบาทสำคัญนี้ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้เกิดมาแล้วนับถือพระพุทธศาสนา  เพิ่งจะมารู้คุณค่าและเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาเมื่ออายุ ๒๙ ปี  แล้วก็ ไม่เคยมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะอุทิศชีวิตเพื่อทำงานรับใช้พระศาสนามาก่อนเลย

ฝันบอกเหตุ
ความฝันนี้น่าจะเป็นนิมิตบอกเหตุ  มันไม่ใช่ฝันธรรมดาที่ตื่นมาแล้วก็ลืมไป แต่ข้าพเจ้ายังจำความฝันนี้ได้ติดตาติดใจ แม้ว่าเวลาจะผ่านไป ๕๐ กว่าปีแล้ว
ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุยังไม่ถึง ๑๐ ขวบ นับถือศาสนาที่เป็นเทวนิยม (นับถือพระเจ้า)  เป็นเด็กที่มีนิสัยใฝ่ใจในเรื่องศาสนา  ชอบไปฟังการบรรยายธรรม ชอบการสวดมนต์ สนใจศึกษาเกี่ยวกับศาสนา จนได้เป็นตัวแทนโรงเรียน (เป็นโรงเรียนสอนศาสนา) ไปตอบปัญหาธรรมะและปาฐกถาธรรมได้รางวัลมาบ่อยๆ
คืนหนึ่ง ฝันไปว่า ข้าพเจ้าเข้าไปร่วมสวดมนต์กับผู้คนจำนวนมาก  ทุกคนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ตามหลักศาสนา เวลาสวดมนต์ต้องหันหน้าไปทางทิศซึ่งเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมใจของศาสนิกชนของศาสนานี้ ซึ่งในประเทศไทยกำหนดเป็นทิศตะวันตก)  มีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวที่นั่งหันหลังให้ทิศนี้ ข้าพเจ้าตื่นจากความฝันด้วยความกลัว เพราะคิดว่าการหันหลังให้ทิศนี้ เหมือนเป็นการปฏิเสธพระเจ้า เราต้องตกนรกแน่ๆ  แม้จะเป็นความฝันก็ยังกลัวอยู่ดี
อีกครั้ง ฝันเห็นเทวดา ปรากฏเงาลงบนผ้าปูที่นอนที่นอนอยู่ ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นมากราบเทวดา  ความรู้สึกตอนนั้น (ยังจำได้ไม่ลืม) เหมือนไม่ใช่ฝัน แต่ลุกขึ้นมากราบจริงๆ  ตื่นเช้ามา ใจสั่น หวาดกลัว กลัวตกนรก เพราะได้รับคำสอนมาว่า ไม่ให้กราบสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้า ถ้าใครล่วงละเมิดถือว่าออกนอกศาสนาและต้องตกนรก
เวลาผ่านไป ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าต้องหันหลังให้ศาสนาเดิมและพระเจ้าที่เคยนับถือและเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่งไปจริงๆ  และมารับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกตราบจนทุกวันนี้

ทำไมจึงเปลี่ยนศาสนา
ข้าพเจ้าคงมีบุญเก่าอยู่บ้าง เมื่อยามมีทุกข์จึงได้มีโอกาสพบธรรม ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม  ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต”  ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ ๒๙ ปี มีความทุกข์สาหัสจากเรื่องความรักที่ไม่เคยคิดว่าจะล่มสลาย  ในท่ามกลางความทุกข์นั้น จิตบอกว่า “ไปทำสมาธิเหมือนพระเซ็นที่เราเคยอ่านในหนังสือสิ  แล้วเราจะมีความสุขสงบเหมือนท่าน”
หนังสือที่ว่าคือ กุญแจเซ็น และ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ซึ่งท่านติช นัท ฮันห์ พระภิกษุชาวเวียดนามเป็นผู้เขียน  ข้าพเจ้าได้อ่านตั้งแต่ก่อนพบความทุกข์ประมาณ ๔ ปี มีความประทับใจมาก  แต่ตอนนั้นยังไม่กล้าปฏิบัติตาม เพราะเห็นว่าเป็นแนวปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ถ้าข้าพเจ้าปฏิบัติตามคงจะตกนรก เพราะไม่ใช่คำสอนของพระเจ้า
ความประทับใจนี้คงจะมีพลังมาก ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก จึงมากระตุ้นเตือนในยามนี้  และเพราะความทุกข์หนักหน่วงมากจนสุดจะทน สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดจึงสั่งว่า อะไรก็ตามที่สามารถทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากห้วงทุกข์นี้ก็จะขอยึดเอาไว้ก่อน พอเอาตัวให้รอด  ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นขบถต่อพระเจ้า  จากที่เคยเฝ้าสวดอ้อนวอนต่อท่านทุกครั้งที่มีทุกข์มีปัญหา โดยไม่ได้รู้สึกว่าปัญหาจะหมดไปเพราะการสวดอ้อนวอน ก็อยากจะลองวิธีใหม่ โดยไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรอก

อาจารย์ท่านแรก
ข้าพเจ้าไปขอเป็นศิษย์ฝึกสมาธิภาวนากับคุณยายชีสะอาด เกษมสันต์ ที่วัดน้อยนพคุณ (อยู่แถวราชวัตร)  คุณยายชีเป็นศิษย์ตรงของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ  แต่ไม่ได้สอนวิชาธรรมกายให้ข้าพเจ้า กลับสอนให้ข้าพเจ้าภาวนา พุทโธ  ข้าพเจ้าก็นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน  ภายหลังทราบว่า คุณยายชีท่านมีอำนาจจิตพิเศษ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ๓ ชาติ  สงสัยท่านคงทราบว่าชาติก่อนๆ ข้าพเจ้าเคยภาวนา พุทโธ มา จึงให้ข้าพเจ้าใช้คำบริกรรมนี้
กุฏิของคุณยายชีเป็นกุฏิเล็กๆ แถมยังมีข้าวของรกเต็มไปหมด  เวลาข้าพเจ้าไปกราบท่าน จะนั่งอยู่แถวๆ หัวบันได เพื่อจะได้วิ่งหนีเจ้าหนูตัวเล็กตัวน้อยที่วิ่งจู๊ดจ๊าดออกมาจากซอกนั้นมุมนี้อยู่ตลอดเวลาได้ทัน เพราะข้าพเจ้ากลัวหนูเป็นอย่างยิ่ง  เวลานั่งสมาธิ คุณยายสั่งให้ไปนั่งในห้องท่าน ซึ่ง ยิ่งรก ยิ่งคับแคบ  มีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ครึ่งห้อง ข้าพเจ้าจำใจไม่มีทางหลบเลี่ยง  แต่เพราะความกลัวทุกข์มากกว่ากลัวหนู จึงตั้งอกตั้งใจภาวนา ไม่ส่งจิตออกไปหาหนูซึ่งชอบกระโดดออกมากินดอกบัวแห้งๆ ที่โต๊ะหมู่บูชาอยู่ต่อหน้าต่อตา  ถึงกระนั้นก็ยังสามารถรวมจิตได้หลายครั้ง ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มหัดภาวนาแบบงูๆ ปลาๆ

ซึ้งในคุณค่าพระพุทธศาสนา
ขณะที่ฝึกปฏิบัติกับคุณยายชี ข้าพเจ้าก็หาหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาอ่าน เพราะโดยนิสัยถ้ารู้อะไรก็อยากรู้ลึกๆ รู้จริงๆ  เมื่อได้ศึกษา ก็ได้พบคำตอบทุกคำถามที่ข้าพเจ้าเคยสงสัย
ได้รู้ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องอกหัก (บ่อยๆ)  ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปหักอกผู้ชายคนไหนเลย  แต่ก่อนเคยไปถามผู้รู้ เขาบอกว่าพระเจ้าลองใจ  ข้าพเจ้าจึงแอบคิดในใจว่าพระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลย  ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่า นี่คือความยุติธรรมที่สุดของกฎแห่งกรรม
ได้รู้ว่า เราไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียว เหมือนที่เคยได้รับคำสอนในศาสนาเดิม  แต่เราผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน  เพราะฉะนั้น แม้ชาตินี้เราไม่เคยหักอกใคร แต่ชาติก่อนๆ ต้องเคยทำไว้แน่  ภายหลังคุณยายชีใช้ญาณตรวจสอบอดีตชาติของข้าพเจ้า ก็บอกว่าข้าพเจ้าเคยทำจริงๆ  หลายครั้งเสียด้วย  คุณยายชีและผู้มีญาณอีกหลายท่านบอกว่าในอดีตชาติ (หลายชาติ) ข้าพเจ้าเป็นหญิงสูงศักดิ์สวยมากด้วย  แล้วชอบทำให้เขาผิดหวัง ไม่ยอมลงเอยด้วย
ได้รู้อะไรๆ อีกมากมายหลายอย่าง ทำให้ทึ่งในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์  ซึ่งแต่ก่อนสมัยเรียนพระพุทธศาสนาตอนเด็กๆ ข้าพเจ้ามักจะคิดว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา ถึงเก่งอย่างไรก็สู้พระเจ้าไม่ได้  แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่เสียแล้ว พระพุทธองค์เป็นมหาบุรุษที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง!
สุดยอดของความรู้ที่ได้จากการศึกษาพระพุทธศาสนาคือศาสตร์ของการพ้นทุกข์
ได้รู้ว่า ทุกข์เกิดที่จิตก็ต้องดับที่จิต และเรามีศักยภาพที่จะแก้ทุกข์ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องสวดอ้อนวอนหรือพึ่งพาสิ่งภายนอก
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจหันมานับถือพระพุทธศาสนา และตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์มาตลอด  ยิ่งศึกษา ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งซาบซึ้งในคุณค่าของพระพุทธศาสนา

กรรมลิขิตให้มาสอนธรรมะ
พี่สาวลูกคุณลุงของข้าพเจ้า แต่ก่อนก็นับถือศาสนาเดียวกัน แต่ได้เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาก่อนข้าพเจ้าหลายปี  ไปเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  มีความตั้งใจในการปฏิบัติมาก  ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มีการรวมกลุ่มเพื่อนๆ ที่สนใจทางธรรม มาฟังธรรมและปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นประจำ โดยนิมนต์พระมาเทศน์และนำปฏิบัติ  พระเถระที่นิมนต์มาบ่อยๆ คือ ท่านอาจารย์สมเกียรติ เป็นศิษย์สายหลวงพ่อโอภาสี ท่านมีอำนาจจิตพิเศษในเรื่องการรู้อดีตและอนาคต
วันหนึ่ง ท่านทักข้าพเจ้าว่า ในอนาคตข้าพเจ้าจะเป็นครูสอนกรรมฐาน  ข้าพเจ้านึกขำในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าเพิ่งหัดภาวนาได้ไม่กี่เดือน ยังภาวนาไม่ได้เรื่องเลย จะไปสอนใครได้  รู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่ข้าพเจ้านึกแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ เวลาที่นั่งฟังพี่ๆ เขาสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ถ้ามีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติ ข้าพเจ้ามักจะมีคำตอบขึ้นมาในจิตอยู่บ่อยๆ  นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเราตอบได้

ครูบาอาจารย์สั่งให้ไปสอนคน
หลังจากข้าพเจ้าฝึกภาวนากับคุณยายชีสะอาดได้ประมาณ ๓ เดือน ก็ย้ายไปรับราชการที่โคราช เป็นศึกษานิเทศก์เขต ซึ่งต้องดูแลการศึกษาในโรงเรียนมัธยมในเขตอีสานใต้  ๕ จังหวัด  จึงมีวาสนาได้ศึกษาและปฏิบัติกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง คือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม  และ หลวงปู่สาม อากิญจโน วัดป่าไตรวิเวก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งข้าพเจ้าไปกราบนมัสการและสนทนาธรรมกับท่านทุกครั้งที่ไปนิเทศโรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์  ส่วนที่โคราชนั้นมี หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นหลักใจ  หากท่านพำนักอยู่ที่โคราช ข้าพเจ้าก็ไปกราบท่านทุกวัน เพื่อสนทนาธรรมและฟังการปุจฉา-วิสัชนา ระหว่างท่านกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส  ระหว่างการฟังก็มีความรู้สึกเหมือนที่เคยเป็น คือ  ข้าพเจ้ามักตอบคำถามในใจได้เป็นส่วนใหญ่หลายคำถาม
ประมาณเดือนกันยายน ๒๕๒๖  ข้าพเจ้าไปราชการที่สุรินทร์ เมื่อว่างจากงานก็ไปกราบหลวงปู่ดูลย์ตามที่เคยปฏิบัติเป็นประจำ  ตอนนั้นหลวงปู่อาพาธและแพทย์ขอให้ท่านรับแขกเป็นเวลา  ตอนที่ข้าพเจ้าไปถึงก็ใกล้หมดเวลาแล้ว หลวงปู่มานั่งอยู่ที่ระเบียงด้านนอกกับพระอุปัฏฐาก  พอข้าพเจ้ากราบเสร็จ ท่านก็เทศน์ทันที  เทศน์กัณฑ์นั้นยาวมาก ท่านเทศน์ไม่หยุดจนเลยเวลาที่หมอกำหนดไว้  ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านว่าเลยเวลาพักแล้ว  ท่านก็ว่า “ไม่เป็นไรดอก” แล้วก็เทศน์ต่อ  ธรรมะที่เทศน์ให้ข้าพเจ้าฟังเป็นธรรมะขั้นหลุดพ้น ยากมากๆ  ข้าพเจ้าพยายามจดเท่าที่จะจดได้ ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง  เมื่อเทศน์จบ ท่านถามว่า “ฟังเข้าใจไหม”  ข้าพเจ้าตอบว่า “เข้าใจทั้งหมด แต่จิตยังไม่เป็นคะ”  จากนั้นจึงขอเทปหรือหนังสือเทศน์แบบที่ท่านเทศน์ให้ฟัง เพราะข้าพเจ้าจดไม่ทัน  ท่านเมตตาเดินไปค้นที่ตู้หนังสือ  สักครู่ก็นำเอกสารโรเนียวหลายหน้าชื่อว่า จิตคือพุทโธ มาให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งสั่งว่า “เอาไปสอนคนอื่นด้วย”  ข้าพเจ้ารีบกราบเรียนว่า “หนูเพิ่งหัดภาวนาได้  ๒-๓ ปี สอนใครไม่ได้หรอกค่ะ”  ท่านก็ย้ำว่า “สอนได้ จิตชำนาญแล้ว”  การพบกับหลวงปู่ครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย  อีกประมาณ ๒ สัปดาห์ ข้าพเจ้าก็เดินทางไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส
กลับจากสุรินทร์ ข้าพเจ้าก็มากราบเรียนหลวงพ่อพุธว่า “หลวงปู่ดูลย์สั่งให้ไปสอนคน  หนูคงทำไม่ได้หรอก เพราะยังภาวนาไม่เก่ง”  หลวงพ่อก็ยังย้ำว่า “ปฏิบัติได้แค่ไหนก็สอนไปเท่านั้นก่อน”  เป็นอันว่าหลวงพ่อก็มามอบภาระอันหนักอึ้งให้ข้าพเจ้าอีก

หนีไม่พ้น
ปี ๒๕๒๗  ข้าพเจ้าเดินทางกลับจากประเทศฝรั่งเศสมาเพื่อเก็บข้อมูลไปทำวิทยานิพนธ์  วันแรกที่กลับถึงบ้าน เพื่อนที่เป็นศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบวิชาพระพุทธศาสนาก็โทรมาว่า “เธอไปสุรินทร์กับฉันหน่อย  ครูที่สอนพุทธฯ เขาเชิญฉันไปให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติสมาธิ  ฉันก็ไม่เคยนั่งสมาธิเลย  เธอไปช่วยหน่อยนะ”  แล้วเพื่อนหัวใสก็วางแผนจัดการบรรยายแบบปุจฉา-วิสัชนา โดยเขาเป็นคนปุจฉาให้ข้าพเจ้าเป็นผู้วิสัชนา
ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้ไปสุรินทร์ เพื่อจะได้ไปกราบศพหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งท่านมรณภาพหลังจากที่ข้าพเจ้าเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสเพียง ๓ สัปดาห์  แต่ก็มีความหนักใจอยู่มากที่ต้องไปพูดธรรมะต่อหน้าคนเป็นร้อย ซึ่งเกิดมาไม่เคยทำ  จึงขอให้หลวงพ่อพุธติวให้ก่อน  ข้าพเจ้าขอให้ท่านเทศน์สอนเรื่องการปฏิบัติสมาธิอัดเทปไว้ ท่านก็พูดให้ประมาณ ๑๐ นาที  ข้าพเจ้ากราบเรียนว่าไม่พอหรอก เพราะข้าพเจ้าต้องไปพูดเป็นชั่วโมง  ท่านก็กล่าวว่า  “เอาเถอะ! เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว มันพูดได้เองหรอก”
วันบรรยายมาถึง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดวิตก เพราะเป็นการบรรยายธรรมครั้งแรกในชีวิต  แต่ลึกๆ ก็มีความรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสทำสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์สั่งไว้  นอกจากนี้ สถานที่บรรยายยังเป็นจังหวัดสุรินทร์ที่เป็นถิ่นของหลวงปู่อีกด้วย  ทีแรกเขาจะจัดที่วัดบูรพารามด้วยซ้ำ ที่ชั้นล่างศาลาที่ตั้งศพของหลวงปู่  แต่พอดีเจ้าอาวาสองค์ใหม่ก็มามรณภาพ จึงต้องใช้สถานที่นั้นตั้งศพท่าน จึงย้ายที่จัดประชุมไปที่โรงเรียนประจำจังหวัด
วันนั้นถูกทดสอบจิตหลายครั้งว่าเราจะแน่วแน่ตั้งใจทำตามคำสั่งของหลวงปู่แค่ไหน  คาบบรรยายของข้าพเจ้าและเพื่อนถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เพราะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาขอแทรก เลื่อนไปจนถึงช่วงบ่าย  เพื่อนจึงหัวเสียชวนกลับโคราช  แต่ข้าพเจ้าก็ขอให้เขาอดทน  จนในที่สุดถูกเลื่อนครั้งสุดท้ายไปเกือบ ๔ โมงเย็น  ข้าพเจ้านึกโมโหเหมือนกันว่า แล้วใครเขาจะมีแก่ใจฟัง เพราะมันเป็นช่วงเย็นมากแล้ว  แต่ก็ยังอดทนรอจนถึงเวลา
การบรรยายครั้งแรกนี้ประสบผลสำเร็จเกินคาด ผู้เข้าประชุมให้ความสนใจและตั้งใจฟังมาก  ผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งตอนแรกตั้งใจเดินมาตรวจดูความเรียบร้อยเท่านั้น ก็เผลอมานั่งฟังจนจบตอนเวลาประมาณ ๕ โมงเย็นเศษ  เป็นอย่างที่หลวงพ่อพุธพูดไว้จริงๆ ว่า  “เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว มันพูดได้เองหรอก”  พอเพื่อนปุจฉาปุ๊บ ข้าพเจ้าก็วิสัชนาได้น้ำไหลไฟดับ ลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อ  นี่แหละ! ประโยชน์ของสมาธิ  ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้ามีสมาธิตั้งมั่น จะทำได้ดีไปหมดทุกอย่าง

เริ่มการอบรมสมาธิครั้งแรก
ความสำเร็จครั้งนั้นล่วงรู้ไปถึงหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ หัวหน้าจึงขอให้จัดการอบรมสมาธิสำหรับครูที่สอนวิชาพระพุทธศาสนา ๗ วัน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับไปฝรั่งเศส  การจัดอบรมครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่กล้าสอนเอง ยังไม่มีความมั่นใจ จึงเป็นเพียงผู้ประสานงาน นิมนต์พระมาเทศน์และนำปฏิบัติ เชิญวิทยากรมาบรรยาย  ศิษย์รุ่นพี่คนหนึ่งมาบอกว่า “หลวงพ่อบอกว่าเธอก็สอนเองได้ ทำไมไม่สอน”  ข้าพเจ้าก็ยังยืนกรานว่า “สอนไม่ได้ ๆ ๆ”
ภายหลังเมื่อข้าพเจ้าเรียนจบปริญญาเอกกลับมาได้ ๒ ปี เพื่อนข้าพเจ้าขอย้ายกลับภูมิลำเนา จึงมอบงานปลูกฝังคุณธรรมให้ข้าพเจ้ารับผิดชอบแทน  ครูในโรงเรียนที่รับผิดชอบงานด้านนี้ส่วนใหญ่เป็นครูสอนพระพุทธศาสนา หลายคนเคยผ่านการอบรมที่ข้าพเจ้าจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๗ จึงขอให้จัดอบรมให้อีก  ข้าพเจ้าจึงจัดอบรมให้ครูผู้รับผิดชอบงานปลูกฝังคุณธรรมบ้าง ครูผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนาบ้าง ประมาณปีละ ๑-๒ รุ่น
ปลายปี ๒๕๓๓  ชนกานต์ ครูโรงเรียนขามทะเลสอวิทยาซึ่งเคยเข้าอบรมสมาธิ มาขอให้ข้าพเจ้าจัดอบรมนักเรียนให้บ้าง เพราะเธอเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติสมาธิภาวนา  เธอเล่าว่า หลังจากอบรมแล้ว เธอมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อารมณ์เยือกเย็นขึ้น  ปกติเคยใจร้อน ทะเลาะเบาะแว้งกับสามีบ่อยๆ  ตอนหลังพอรู้ตัวว่าจะร้อนขึ้นมา ก็รีบเข้าห้องพระไปสงบสติอารมณ์ก่อนจะเกิดเรื่อง ครอบครัวจึงมีความสุขสงบมากขึ้น
ข้าพเจ้าก็จัดให้ตามคำขอ แบบขายผ้าเอาหน้ารอด คิดว่าจัดรุ่นเดียวก็คงจบ  แต่ปรากฏว่ามีการไปบอกกันปากต่อปาก ก็มีโรงเรียนมาขอให้จัดให้อีกหลายโรง จากปีละ ๑-๒ รุ่น ก็ขยายเป็นปีละ ๔-๕ รุ่น
ในการจัดอบรมสมาธิ  ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย เจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน นครราชสีมา  อนุญาตให้ไปอบรมที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน  ซึ่งเป็นวัดแรกที่ท่านสร้างไว้  บรรยากาศและสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม เรียกว่า มีความสัปปายะยิ่ง  แม้ในระยะบุกเบิกเริ่มดำเนินการจัดอบรมจะมีความทุรกันดารยากลำบากอยู่บ้าง  แต่พอท้องถิ่นมีการพัฒนา มีการตัดถนนลาดยางเข้าไป การคมนาคมสะดวกขึ้น ก็เพิ่มเป็นปีละ ๒๐ รุ่น  จนปัจจุบันนี้ ต้องจัดอบรมเฉลี่ยปีละ ๔๐ รุ่น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกๆ  ข้าพเจ้าก็ยังรับบทบาทผู้จัดอบรมแบบผู้ประสานงาน  ไม่ขอสอนเอง เพราะรู้สึกว่าความสามารถไม่พอ  ตอนนั้นมี  พระครูดอกเตอร์  (พระครูวชิรจิตรโสภณ วัดสุทธจินดา นครราชสีมา) เมตตามาเป็นวิทยากรหลักให้องค์เดียวตลอดหลักสูตรเลย เพราะช่วงนั้นการคมนาคมยากลำบากมาก จึงไม่สามารถนิมนต์หรือเชิญวิทยากรมาช่วยได้หลายๆ ท่าน


มารไม่มี  บารมีไม่เกิด
ที่จริงข้าพเจ้าไม่เคยคิดฝันเรื่องการสร้างบารมีอะไรเลย แต่ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนตกกระไดพลอยโจน  จะว่าไปแล้วก็คงเป็นเรื่องบุญทำกรรมแต่ง  แม้เริ่มต้นด้วยอุปสรรคและความทุกข์ยากนานัปการ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดท้อ คงเป็นเพราะมีนิสัยทำอะไรทำจริงแบบ  “กัดไม่ปล่อย” ฝังอยู่ในดีเอ็นเอ หรือในกมลสันดานก็ว่าได้
ตอนจัดอบรม ๓-๔ ปีแรก การเดินทางสุดโหด  จากปากทางเข้ามาวัดวะภูแก้วระยะทางประมาณ ๑๖ กม. ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะเป็นทางลูกรังสไตล์โลกพระจันทร์ หลุมบ่อมากมาย  หากวันใดฝนตก รถก็ติดหล่มได้ง่ายๆ  ใช้รถเก๋งวิ่งไม่ได้ ต้องใช้รถปิคอัพ  วันไหนจะขึ้นวัดอบรมเด็ก หลวงพ่อพุธก็ให้คนขับรถปิคอัพมาส่ง  หากไม่มีรถหรือหลวงพ่อไม่อยู่ ข้าพเจ้าก็เหล่หาคนที่มาวัดที่มีรถพอมาส่งได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องหาเอาจนได้ เพราะไม่สามารถนั่งรถโดยสารไปได้ เนื่องจากต้องขนของมามากมาย คือ ต้องซื้อขนมไว้ให้เด็กรับประทานตอนเย็นครั้งละหลายร้อยชิ้น ซื้อทีเดียวใช้ได้จนจบคอร์ส เพราะไม่มีรถที่จะวิ่งเทียวไปเทียวมาซื้อทีละวันได้
ความพร้อมเรื่องที่พักก็น้อย  มีที่พัก ๒ จุด จุดหนึ่งจุได้ประมาณ ๕๐-๖๐ คน  ๒ ปีแรกเด็กเข้าอบรมรุ่นละไม่เกิน ๑๐๐ คน  ก็ไม่มีปัญหา  ต่อมาค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น ๑๕๐, ๒๐๐, ๒๐๐ กว่า  ต้องแก้ปัญหาด้วยการบอกบุญซื้อเต๊นท์แบบเต๊นท์ลูกเสือ นอนได้เต๊นท์ละ ๘-๑๐ คน (อัดเป็นปลากระป๋อง)
โรงครัว โรงอาหาร ก็ไม่มี  ต้องให้ชาวบ้านทำมาจากในหมู่บ้านขึ้นมาส่งทีละมื้อ  หกกลางทางไปบ่อยๆ เพราะทางขึ้นชันมาก  เด็กๆ หาที่นั่งกินตามอัธยาศัย ข้างทางบ้าง ข้างศาลาบ้าง บนโขดหินบ้าง  คนไหนมักง่าย ขี้เกียจล้างจาน ก็เขวี้ยงจานเข้าป่าไปเลย ควบคุมลำบาก เพราะเด็กมากและกระจายไปทั่ววัด  พอเด็กรับประทานเสร็จ เขาก็รีบขนของขึ้นรถกลับหมู่บ้าน เตรียมทำมื้อต่อไป  เด็กคนไหนนั่งสมาธิเก่งๆ ยังไม่ถอนจิตจากสมาธิ พอออกจากสมาธิก็ไม่มีข้าวกิน เพราะเขาขนกลับไปหมดแล้ว
ทีมงานก็ยังไม่มี ไม่กล้าขอให้ใครมาช่วย เพราะไม่มีรถบริการ  แค่ตัวเองยังเอาตัวแทบไม่รอด ค่าตอบแทนก็ไม่มีให้เขา  ปกติข้าพเจ้าเริ่มงานตั้งแต่ก่อนตี  ๔  มาพาเด็กทำวัตรเช้า แล้วก็อยู่ดูแลเด็กจนกว่าเด็กคนสุดท้ายออกจากสมาธิ เข้านอน  บางครั้งเด็กบางคนนั่งสมาธิจนดึกถึง ๔-๕ ทุ่มก็มี

ปัญหานอกวัด
แค่ปัญหาในวัดก็หนักพอแรงแล้ว ยังต้องเจอสิ่งกระทบภายนอกอีก คือ บุคลากรทางการศึกษาแท้ๆ ทั้งหน่วยงานที่ข้าพเจ้าสังกัดอยู่และโรงเรียนต่างๆ  ไม่เห็นความสำคัญของงาน “สร้างคน” เลย  ข้าพเจ้าต้องตกเป็นจำเลยในที่ทำงาน ถูกตำหนิว่าไม่สนใจไปนิเทศก์ที่โรงเรียน ทำงานอยู่แต่บนวัด  ทั้งๆ ที่การมาอบรมเด็กที่วัดก็มาโดยหน้าที่การให้บริการทางการศึกษาตามที่โรงเรียนขอมา และหัวหน้าหน่วยฯ ก็เป็นผู้อนุมัติเอง ไม่ได้หนีราชการมาอยู่วัดสักหน่อย
โรงเรียนที่นำเด็กมาเข้ารับการอบรม  ก็ใช่ว่าจะเห็นชอบกันทั้งโรงเรียน  ผู้รับผิดชอบโครงการต้องต่อสู้กับอุปสรรคหลายอย่าง  กว่าจะสามารถนำเด็กมาวัดได้ เพราะผู้บริหารและครูคนอื่นๆ (ส่วนมากเสียด้วย) เห็นว่า  “เสียเวลาเรียน” และไม่เห็นด้วยกับการ “บังคับ” เด็กมาวัด  มีโรงเรียนส่วนน้อยที่ผู้บริหารให้การสนับสนุนด้วยดี  แต่ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนเพียงคำสั่งอนุมัติให้ทำโครงการได้ แต่ไม่มีงบประมาณให้  ฉะนั้นภาระค่าใช้จ่าย ทั้งค่ารถ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายจิปาถะ จึงตกเป็นภาระของเด็กๆ ทั้งหมด
นี่คือความน่าเศร้าของสังคมไทย ที่ละเลยเรื่องของคุณธรรม โดยเฉพาะพุทธรรม  โรงเรียนจัดการศึกษาที่เน้น ความเก่ง โดยไม่ให้ความสำคัญกับ ความดี  นับว่าเป็นอันตรายมาก เพราะคนเก่งถ้าขาดความดีเป็นหางเสือ จะทำร้ายสังคมได้มากกว่าคนเลวแต่โง่
ที่น่าสลดใจมากอีกอย่าง ก็คือเห็นว่าการที่เด็กๆ มาปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นการ เสียเวลา เพราะคนเหล่านี้ก็ไม่เคยเห็นคุณค่าของธรรมะและพระพุทธศาสนา  พวกเขาไม่สนใจศึกษาและปฏิบัติ  น่าเสียดายที่มีโอกาสได้เกิดบนแผ่นดินไทยที่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ดังที่หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ไว้ว่า  “ใครที่เกิดบนแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นที่รองรับพระพุทธศาสนา แล้วไม่ปฏิบัติตามพระศาสนา ถือว่าเหยียบแผ่นดินผิด”

ถึงเวลาต้องสอนเอง
เดชะบุญที่ข้าพเจ้าเริ่มงานรับใช้พระศาสนาตอนอายุยังไม่มากนัก จึงยังมีกำลังวังชาพอที่จะสู้กับความยากลำบากดังกล่าวได้โดยไม่ย่อท้อ  ประกอบกับตอนแรกๆ ยังไม่มีภาระต้องสอนเอง เพราะท่านพระครูฯ ท่านรับภาระการสอนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติตลอดหลักสูตร ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวกเท่านั้น
และแล้วสถานการณ์ก็บีบบังคับให้ข้าพเจ้าต้องจับไมค์สอนเอง เพราะท่านพระครูฯ อาพาธ มาสอนไม่ได้  จะหาใครแทนก็ไม่ทันการ เพราะกว่าจะเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง  ข้าพเจ้าเข้าตาจน นึกถึงคำพูดของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า “สอนได้ จิตชำนาญแล้ว” จึงกัดฟันจับไมค์นำปฏิบัติดู  ช่วงนั้นเป็นการอบรมครูผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้านำคณะครูนั่งสมาธิ พูดนำจิตไปตามแต่จะนึกได้  พอถึงเวลาถอนจิตออกจากสมาธิ ครูคนหนึ่งบอกว่าการนั่งสมาธิครั้งนี้ได้ความสงบดี  ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจและค่อยๆ เริ่มมั่นใจว่าเราก็พอสอนได้เหมือนกัน  จากนั้นก็ค่อยๆ มีความกล้ามากขึ้น  แล้วค่อยๆ พัฒนาทักษะและประสบการณ์ไปเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
พอพัฒนาตัวเองได้ ก็เริ่มพัฒนาทีมงาน ซึ่งเป็นครูที่มาเข้าอบรม แล้วเห็นว่าข้าพเจ้าทำงานคนเดียว ไม่มีผู้ช่วยเลย จึงอาสามาช่วยงาน  ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีค่าตอบแทน  (ในช่วงแรก แต่ภายหลังก็จัดให้บ้างแต่ไม่มากนัก พอเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง)  ภาระงานก็หนัก ต้องทำงานตั้งแต่เช้ายันดึก  แถมยังโดนผู้บริหารและเพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจขัดขวางกลั่นแกล้งสารพัด เพราะไม่อยากให้มาช่วยงานที่วัด  นับว่าคณะทำงานของข้าพเจ้ามีชะตากรรมแบบเดียวกับข้าพเจ้าเลย  ใครภูมิต้านทานน้อยก็ถอยไป ใครภูมิต้านทานมากก็ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันต่อไป
ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจและชื่นชมน้ำใจของทีมงานผู้ร่วมรับใช้พระศาสนาด้วยความอุตสาหะวิริยะยิ่ง

 

กำลังใจ
ความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานรับใช้พระศาสนาโดยไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคทั้งปวงของพวกเราก็บังเกิดสิ่งดีๆ ที่ทำให้มีกำลังใจในการทำงานหลายอย่าง  มีผู้สนับสนุนงานทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ และกำลังสติปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งอาคารที่พัก โรงอาหาร ห้องน้ำ ก็มีความพร้อมและสมบูรณ์ขึ้น
ข้าพเจ้าพยายามประสานรอบทิศ เพื่อให้เด็กๆ ที่มาอบรมไม่ต้องลำบากในการใช้ชีวิตในวัดมากนัก จะได้ไม่เข็ดวัดและไม่อยากจะมาวัดอีก  แต่ก็ไม่ได้บำรุงบำเรอให้สุขสบายมากจนเกินไป เพราะเรามาปฏิบัติธรรม ไม่ได้มาปฏิบัติกิเลส  จึงมีกฎกติกาและแนวทางปฏิบัติธรรมที่เข้มงวดพอสมควร
ถึงแม้ว่าจะมีการสนับสนุนและความพร้อมมากขึ้น แต่ภาระก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน  เพราะปัจจุบันมีการอบรมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ ๔๐ รุ่น  เด็กที่เข้าอบรมแต่ละรุ่นก็ไม่ต่ำกว่า ๓๕๐ คน และส่วนใหญ่มีฐานะยากจน การมาเข้าอบรมก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย เพราะโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่จัดงบให้  ข้าพเจ้าต้องสะเทือนใจอยู่บ่อยๆ เมื่อเห็นความลำบากของเด็กๆ จำนวนมาก
มีเด็กคนหนึ่งมาจากชัยภูมิ  โรงเรียนเก็บค่าใช้จ่ายคนละ ๒๐๐ บาท ซึ่งก็ไม่มากนัก  ครูมาเล่าให้ฟังว่า เขามาจ่ายเงินล่าช้ามาก เพราะพ่อซึ่งเป็นตำรวจต้องไปหากู้เงินมาให้ กว่าจะหาได้ก็ใช้เวลาหลายวัน
เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง มาเข้าอบรมโดยไม่ได้ร่วมปฏิบัติเลย เพราะนอนจับไข้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวัดปิดอบรม  ไปพูดคุยด้วยได้ความว่า ที่จับไข้เพราะต้องโหมรับจ้างตัดอ้อยเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนของตัวเองและน้อง และค่าใช้จ่ายมาเข้าอบรมอีก  ข้าพเจ้าจึงแนะนำครูว่าให้คืนเงินเด็กไปเถอะ  แล้วให้ครูไปสืบหาว่ามีเด็กคนอื่นๆ ที่ต้องลำบากอย่างนี้อีกกี่คน ขอให้คืนเงินเด็กๆ เหล่านี้ด้วย
เด็กๆ ในท้องถิ่นทุรกันดารหลายโรงเรียน ครูต้องแจ้งกำหนดการไปเข้าอบรมล่วงหน้าอย่างน้อย ๒ เดือน เพื่อให้เด็กๆ ได้มีเวลาไปรับจ้างทำงานเกี่ยวข้าว ดายหญ้า ฯลฯ เพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการอบรม
หลวงพ่อพุธเคยปรารภว่า อยากให้เด็กๆ ที่มาอบรมได้อยู่ฟรี กินฟรี แถมค่ารถให้ด้วย  ข้าพเจ้าได้ริเริ่มตั้งมูลนิธิชื่อ “มูลนิธิสายธารธรรม ในความอุปถัมภ์ของพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)” เพื่อนำดอกผลมาช่วยแบ่งเบาภาระของเด็ก  แต่ด้วยเงินต้นที่มีไม่มากนัก จึงมีดอกผลที่จะช่วยเด็กได้เพียงปีละประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท สามารถช่วยเด็กได้เฉลี่ยคนละประมาณ ๒๕-๓๐ บาทเท่านั้น
ในยุคน้ำมันแพง ค่ารถแพงขึ้นมาก เด็กๆ ก็ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นอีก  ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาที่จะช่วยจ่ายค่ารถให้ จึงหาวิธีที่จะช่วยลดภาระค่าอาหารเพิ่มขึ้น  ได้บอกบุญไปยังคณะศิษย์หลวงพ่อพุธ และเพื่อนๆ ซึ่งมีน้ำใจให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง  ทำให้เด็กเล็กๆ (ป.๔ - ม.๑) มาเข้าอบรม ๓ วัน โดยไม่ต้องจ่ายค่าอาหารเลย  ส่วนเด็กโต (ม.๒ ขึ้นไป) เข้าอบรม ๕ วัน เก็บค่าอาหารเฉลี่ยวันละ ๑๐ บาท เพราะทุนสนับสนุนยังไม่พอที่จะออกให้ได้ทั้งหมด  หากเมื่อใดการสนับสนุนน้อยลง ภาระก็คงกลับไปตกอยู่ที่เด็กอีกเหมือนเดิม
เมื่อปีที่แล้ว หลวงตาท่านได้เมตตาให้ข้าวสารมาจำนวนมาก (๑,๔๐๐ ถุง  หรือก็คือ ๗,๐๐๐  กก.) ทำให้ทุ่นค่าข้าวสารไปได้หลายเดือน  จากนั้น เวลาไปร่วมงานบุญที่วัดป่าบ้านตาด หากพอหารถได้ ทางวัดก็จะจัดข้าวสารมาให้เต็มที่ทุกครั้ง
ข้าพเจ้าและเด็กๆ ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาขององค์หลวงตาและผู้ให้ทุนสนับสนุนทุกๆ ท่าน

คุ้มเหนื่อยจริงๆ
เด็กๆ ที่มาเข้าอบรมเกือบทุกคนนับเป็นพวก  “มืดมา สว่างไป” เพราะเกือบทุกคนมาด้วยความรู้สึกคับข้องใจเพราะถูกบังคับให้มา บางคนถึงขนาดไปขอให้หมอเขียนใบรับรองแพทย์ว่าป่วยไม่สามารถมาเข้าอบรมได้ บางคนป่วยนิดหน่อยแต่อยากป่วยมากๆ จะได้ไม่ต้องมาอบรม  จากการประเมินผลก่อนอบรม เด็กๆ เฉลี่ยทุกรุ่นไม่ต่ำกว่า ๘๐% ตอบว่ามาเพราะถูกบังคับ  แต่พอถึงวัดปิดอบรม มีการประเมินผลหลังอบรม เด็กๆ ไม่ต่ำกว่า ๙๐% ตอบว่า ชอบ ชอบมาก อยากมาวัดอีก  นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง!
ข้าพเจ้าไม่รู้สึกหนักใจที่ต้องพบกับปฏิกิริยาต่อต้านของเด็กๆ ในวันแรกๆ  กลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องท้าทาย  ที่ข้าพเจ้าและทีมงาน  ต้องใช้จิตวิทยาในการสร้างแรงจูงใจให้เขาเกิดความเพียรพยายามในการปฏิบัติธรรม  เช่น พูดให้เห็นประโยชน์ของสมาธิว่าจะทำให้เขาเรียนเก่งขึ้นและมีพฤติกรรมดีขึ้น มีการให้รางวัลคนที่นั่งสมาธิเก่ง  ฯลฯ
ผลปรากฏว่า เด็กๆ ที่โยเยเหมือนจับปูใส่กระด้งในวันแรกๆ  ค่อยๆ นิ่งขึ้นจนครูที่นำเด็กมารู้สึกแปลกใจ  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ครูคนหนึ่งมาบอกข้าพเจ้าด้วยความตื่นเต้น พร้อมทั้งชี้ให้ดูลูกศิษย์ตัวน้อยที่นั่งนิ่งแหน็วว่า “อาจารย์คะ เด็กคนนี้เป็นเด็กสมาธิสั้น  ไม่นึกว่าเขาจะสามารถนั่งได้นิ่งๆ นานขนาดนี้”  เด็กเล็กๆ ระดับประถมหลายคนสามารถนั่งสมาธิได้นิ่งๆ นานเป็นชั่วโมงก็มี ทั้งๆ ที่เราจัดเวลาให้เขานั่งประมาณ ๑๕-๓๐ นาทีเท่านั้น  ส่วนเด็กโตหลายคนนั่งได้คราวละหลายชั่วโมง จนครูและวิทยากรยังอาย
วันหนึ่ง ข้าพเจ้ากราบอาราธนานิมนต์หลวงตามารับผ้าป่าช่วยชาติที่วัด เพราะเห็นว่าท่านต้องเดินทางมารับผ้าป่าที่อำเภอสูงเนินอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าสั่งเด็กๆ ว่า ถ้าหลวงตาเทศน์เมื่อไร ให้เข้าที่ภาวนาเลยนะ โดยไม่ต้องให้ครูบอก  พอหลวงตาเริ่มเทศน์ เด็กๆ ก็จัดกายในท่าสมาธิ ตัวหลังตรงแหน็ว หลับตา สำรวมกายสำรวมใจ ตั้งใจฟังธรรม  หลวงตาพอใจมาก พูดชมว่า “อย่างนี้หลวงตาก็ไม่ต้องเข้าเกียร์ ๑ ล่ะนะ  เข้าเกียร์ ๕ ได้เลย”  เคยนิมนต์หลวงปู่เหรียญและหลวงปู่จันโสมมาเทศน์โปรดเด็กๆ ที่มาปฏิบัติธรรมบูชาคุณหลวงพ่อพุธ ท่านก็ชมว่าเด็กๆ ที่วัดวะภูแก้วภาวนาเก่ง
เมื่อปูพื้นฐานด้านสมาธิให้เป็นเบื้องต้นแล้ว ก็ค่อยๆ ใส่ธรรมะเพื่อให้เกิดปัญญา  ถึงแม้จะเป็น สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง  เมื่อฟังด้วยดี มีสมาธิตั้งมั่น พิจารณาตาม ก็ทำให้เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ผิดชอบชั่วดี กลับเนื้อกลับตัวได้หลายคน  เด็กๆ จะได้ฟังเรื่อง กฎแห่งกรรม ตายแล้วไปไหน พระคุณอันยิ่งใหญ่ ฯลฯ  เพื่อจะได้กลัวบาปและเกิดสำนึกของความกตัญญู

ได้ลูกศิษย์คนใหม่
วันปิดอบรม เด็กๆ มีความแจ่มใส ร่าเริงในธรรม  หลายคนมีความอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากกลับบ้าน อยากอยู่วัดต่อ  ข้าพเจ้าขอให้เขาเขียนถ่ายทอดความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้จากการมาเข้าอบรม แล้วสุ่มเลือกเด็กประมาณ ๑๐ คน มาอ่านประสบการณ์ที่เขียน  เด็กๆ ได้รับประสบการณ์ที่ประทับใจมากมาย
เด็กสาวคนหนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกมาอ่านประสบการณ์ไม่สามารถอ่านได้ เพราะเอาแต่ร้องไห้จนเป็นลมไปเลย ด้วยความเสียใจที่เคยมีอคติกับพ่อ  เธอเขียนว่า “ก่อนมา หนูมีอคติต่อพ่อมาก  พ่อไม่เคยมาเหลียวแลหนูกับแม่บ้างเลย... ถ้าพ่ออยู่กับหนู หนูอยากจะบอกให้พ่อรู้ว่าหนูรักพ่อนะ”
เด็กอีกคนหนึ่งถ่ายทอดความรู้สึกว่า “หนูเกลียดพ่อมาก เพราะพ่อทิ้งหนูกับแม่ไปโดยไม่เคยมาส่งเสียดูแลเลย  วันหนึ่ง หนูได้ข่าวว่าพ่อตาย หนูรู้สึกสะใจ... มาตอนนี้หนูสำนึกแล้วว่า ถึงพ่อจะไม่ได้เลี้ยงหนู แต่พ่อก็เป็นผู้ให้ชีวิต  กลับไปหนูจะจุดธูปขอขมาพ่อ  และอุทิศส่วนบุญให้พ่อ”
เด็กหนุ่มจากสุรินทร์คนหนึ่งถูกเลี้ยงดูมาผิดๆ  จนกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ด่าพ่อด่าแม่มาตั้งแต่พูดได้จนโตเป็นหนุ่ม  เพิ่งมาได้สำนึกตอนนี้  กลับจากการอบรมรีบไปกราบขอขมาแม่ แต่หมดโอกาสที่จะขอขมาพ่อ เพราะพ่อเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  เขาบอกว่า ถ้าย้อนเวลาได้  เขาไม่ขอทำสิ่งที่เคยทำให้พ่อเสียใจ
ยังมีเรื่องราวที่น่าชื่นใจอีกมากมาย  มีข่าวจากครูบ้าง ผู้ปกครองบ้าง เล่าว่าเด็กๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก  บางคนเรียนเก่งขึ้นอย่างอัศจรรย์  จากเด็กเรียนอ่อนๆ ไม่น่าจะมีอนาคต กลับสอบติดแพทย์ เรียนจบจนเป็นนายแพทย์แล้วก็หลายคน
แต่ก็ยังมีผู้มาเยาะเย้ยว่า เด็กส่วนใหญ่ดีอยู่ได้ไม่กี่วันก็กลับไปมีพฤติกรรมแบบเดิม  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าท้อ  หากมีโอกาสพบกัน ข้าพเจ้าก็จะอธิบายให้เข้าใจว่า เด็กๆ เหล่านี้มาในสภาพคนป่วย ติดเชื้อมา  เรามีเวลาฆ่าเชื้อเพียง ๓ วัน  ๕ วัน แล้วช่วยสร้างภูมิต้านทานเพิ่มให้  แต่เขายังมีเชื้อหลงเหลืออยู่ ภูมิต้านทานก็ยังไม่มาก หากไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากทางครอบครัวและโรงเรียนซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กได้ดีที่สุด เด็กก็อาจติดเชื้อได้อีก
ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็มีความภูมิใจว่าได้ให้โอกาสเด็กเหล่านี้ได้เติมสีขาวให้กับจิตที่เคยมืดมัวมา ถึงจะมีสีขาวอยู่เพียงไม่กี่จุด ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยไม่ใช่หรือ

ถึงท้อก็ไม่ถอย
เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปีแล้วที่ข้าพเจ้าได้จัดโครงการอบรมพัฒนาจิตที่วัดวะภูแก้ว  มีผู้ผ่านการอบรมทั้งเยาวชน ข้าราชการ และบุคคลทั่วไป กว่า ๖๐๐ รุ่น จำนวนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คน  นอกจากนี้ ข้าพเจ้ายังทำงานรับใช้พระศาสนาด้านอื่นๆ เช่น ทำหนังสือธรรมะของหลวงพ่อพุธเผยแพร่เป็นประจำทุกปี ในวาระครบรอบวันเกิดของท่าน ไม่เคยขาดนับตั้งแต่ปี  ๒๕๓๑  เป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้  รับใช้งานขององค์หลวงตาและวัดป่าบ้านตาดทุกงานที่สามารถทำได้
ในช่วง ๕-๖ ปีแรกของการทำงาน ข้าพเจ้าทำด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ว่า เราก็ยังปฏิบัติได้น้อย กิเลสก็ยังอยู่ครบทุกตัว ยังตัดให้เด็ดขาดไม่ได้สักตัว แล้วยังบังอาจไปสอนคนอื่น  จนวันหนึ่ง ได้รับจดหมายฉบับยาวเป็นมินิซีรีส์จากอุบาสิกาที่อยู่ในสายพ่อแม่ครูอาจารย์ของพวกเรา สับข้าพเจ้าเสียเละ สรุปความได้ว่า ตัวเองมีดีนักหรือถึงได้ (บังอาจ) ไปสอนคนอื่นเขา  ขณะจิตแรกนั้นรู้สึกสะเทือนอยู่ แล้วก็ค่อยๆ ตั้งสติว่าจะเอาอย่างไรดี เขาพูดถูกต้องแล้ว  หรือเราควรจะหยุดสอนคนอื่น มาตั้งอกตั้งใจสอนตัวเองก่อนดีกว่า  แต่อีกจิตหนึ่งก็กระตุ้นเตือนว่า แล้วที่หลวงปู่ดูลย์สั่งไว้ให้ไปสอนคนอื่นเล่า  จะไม่เชื่อฟังท่านเล่าหรือ  จิตถามจิตว่า เราจะเลือกเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ที่หมดกิเลส หรือจะเชื่อปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส  แน่นอน!  คำตอบสุดท้าย ก็ต้องเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์สิ ฉันไม่ได้โง่นี่ กิเลสอย่ามาหลอกเสียให้ยากเลย  จากนั้นก็มุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป
แต่ในส่วนลึกของจิต ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกว่าเรายังดีไม่พอที่จะสอนคนอื่น  ความกังวลนี้ก่อกวนอยู่บ่อยๆ จนทนไม่ไหว จึงเรียนถามหลวงพ่อพุธว่า “เมื่อไรหนูจะตัดกิเลสได้สักที เอาแค่เป็นพระโสดาบันได้เข้ากระแสพระนิพพานไว้ก่อนก็ยังดี”  ท่านถามว่า “แล้วเราจะรีบตัดกิเลสทำไม”  ข้าพเจ้าตอบว่า “หนูต้องสอนคนอื่น ก็น่าจะมีอะไรเหนือเขาอยู่บ้าง”  ท่านให้คำตอบที่ทำให้ข้าพเจ้าคลายความกังวลไปได้เกือบหมดว่า “เราไม่เคยสอนเกินภูมิไม่ใช่หรือ  ถ้าต้องรอให้หมดกิเลสก่อนค่อยมาสอน แล้วจะหาใครมาสอนกันล่ะ”  ข้าพเจ้าพิจารณาตัวเองก็สบายใจว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติได้แค่ไหนก็สอนเพียงแค่นั้น  หากต้องพูดเรื่องที่เกินภูมิของตัวเอง ก็อ้างอิงพระพุทธเจ้าหรือพ่อแม่ครูอาจารย์
อย่างไรก็ตาม ความตะขิดตะขวงใจยังไม่หมดสิ้นเสียทีเดียว  ในปี ๒๕๓๖ ได้มีโอกาสไปกราบหลวงตาที่วัดป่าบ้านตาด ได้กราบเรียนถามท่านว่า “ทำไมหนูต้องรับภาระสอนคนอื่นด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด  คิดในใจว่าหลวงตาคงจะต้องตอบว่า “เอาตัวให้รอดเสียก่อนเถอะ อย่าทำตัวเป็นเตี้ยอุ้มค่อมไปสอนคนอื่นอยู่เลย”  แต่หลวงตาไม่ได้ตอบแบบที่ข้าพเจ้าคาดการณ์ไว้ ท่านตอบว่า “วาสนาเราน่ะ ต้องปฏิบัติตัวเองควบคู่กับการสอนคนอื่น”  ปีถัดไป ได้ไปกราบหลวงปู่เทสก์ที่ถ้ำขาม ก่อนท่านมรณภาพ ๗-๘ เดือน  ก็ไปกราบเรียนถามท่านเช่นเดียวกับที่เคยถามหลวงตา ท่านก็ตอบมาแบบเดียวกับที่หลวงตาตอบ  เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พี่แป้น (พญ. อมรา มลิลา) ฟัง  พี่แป้นสรุปให้ง่ายๆ แต่กินใจมากว่า  “แสดงว่างานนี้เป็นมรรคของตุ๊ก”
หลวงพ่อพุธคงเป็นห่วงว่าข้าพเจ้าอาจมีอาการเสียศูนย์อีก เวลามีสิ่งกระทบแล้วทำให้เกิดการท้อถอยหรือลังเล  ท่านจึงเขียนธรรมะสอนข้าพเจ้าไว้หลังรูปเล็กๆ ของท่าน ให้ข้าพเจ้าไว้เป็นกำลังใจว่า “ทำความดีอย่าท้อถอย  ถ้าคนอย่างเราถอยหลัง แล้วจะมีใครเดินหน้า”
ข้าพเจ้าจึงมุ่งมั่นรับใช้พระศาสนาไปจนถึงที่สุด  ตายแล้วเกิดใหม่ (คงต้องเกิดอีกแน่ๆ เพราะกิเลสยังอยู่ครบ)  ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะสืบทอดงานนี้ต่อไป  เพื่อเป็นความไม่ประมาท ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานจิตทุกวัน เช้า-เย็น หลังจากสวดมนต์ภาวนาแล้วว่า
“เกิดชาติใดภพใด ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาและพระอรหันต์ เป็นผู้ที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เกิดมาเพื่อสร้างความดีเท่านั้น”
คำอธิษฐานนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ สามารถลอกเลียนแบบได้  และขอเชิญชวนผู้อ่านทุกคนที่มีวาสนามากกว่าข้าพเจ้า คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์  ได้พบพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด ได้พบพระอรหันต์  นับตั้งแต่องค์หลวงตามหาบัวเป็นต้นมา มาช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา ด้วยการประพฤติธรรมและเผยแผ่ธรรมตามกำลังและเหตุปัจจัยเท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ อย่ายอมแพ้ต่ออุปสรรคและกิเลสทั้งปวง  หลวงตาสอนว่า “สิ่งใดที่เป็นธรรม มักจะต้องฝืน  แต่ถ้าเป็นกิเลสมักไม่ต้องฝืน”
สาธุ อนุโมทนา !

–––––––––––––––––– || ––––––––––––––––––

ท่านผู้สนใจหนังสือ  โปรดติดต่อ  คุณสุทัศน์  ชาญวิเศษ   หรือ  คุณหลวง
โทร. 02-900-7418,  086-341-2639

 

Last Updated on Friday, 07 August 2009 14:46
 

ค้นหา (พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา แล้วกดปุ่ม Enter)

ร้านจักรวาลอ๊อกซิเย่น

Banner

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

Banner

เข้า Facebook ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดวะภูแก้ว

Banner

แห่เทียนพรรษา 2558

Banner

ฐานิยปูชา 2556

Banner

www.thaniyo.net

Banner

ฐานิยปูชา 2555

Banner

เชิญชม วิดีโอ การแสดงธรรมของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

วัดป่าสาลวัน

Banner

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

palungdham.com

Banner

ฐานิยปูชา 2553

Banner

สำรวจความคิดเห็น

เหตุผล สำคัญที่สุด ในการเข้ารับการอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ?
 

แบบสำรวจความคิดเห็น

วัดวะภูแก้วควรปรับปรุงเรื่องใดมากที่สุด
 

แบบสำรวจ

พระสงฆ์ในทัศนะของท่าน ?
 

โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านได้ที่สมุดเยี่ยม

Banner