หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ Print
Monday, 27 April 2009 15:12

คำถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์ ถามว่า วิญญาณนี่มาเกิดตอนปฏิสนธิใช่ไหมครับ แล้วเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมีความเจริญ โดยเอาเชื้ออสุจิไปใส่ในไข่ของหญิงแล้วฉีดกลับไปในมดลูก ช่วงนี้วิญญาณมาอย่างไรครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อพุธตอบ : วิญญาณจะเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดาต่อเมื่อธาตุของ
๑. มารดาเป็นประจำเดือน
๒. การผสมส่วนสภาวธาตุของบิดามารดาผสมกันได้สัดส่วน แล้ววิญญาณก็เข้ามาปฏิสนธิในขณะนั้น

ในตอนแรกๆ ตามคัมภีร์ ท่านกล่าวว่า ในเมื่อเชื้อของบิดามารดาผสมส่วนกันเข้า จะกลายเป็นน้ำมันเหลวๆ แล้วเมื่อมีวิญญาณมาปฏิสนธิ ก็จะมีจุดแดงๆ อยู่ตรงกลางๆ จุดแดงๆ นั้นจะไหวตัวติ๊กๆ ๆ คือ หัวใจ ก็เกิดเป็นหัวใจ เมื่อนานๆ เข้าก็มีรูปร่าง ก็มีรูปร่างเหมือนกับลูกกบ ลูกกบที่ยังไม่มีแข้งมีขา ยังมีหางยาวอยู่ ทีนี้ภายหลังก็จะแตกปัญจะสาขา มีแขน ๒ ขา ๒ และก็ศีรษะ ๑ ตัวหางยาว ๆ นั้นก็จะค่อยหดเข้า หดเข้า ซึ่งเราเรียกว่า ก้นกบ แล้วทารกก็ค่อยโตขึ้น มูลเหตุที่มีวิญญาณเข้ามาปฏิสนธิ นอกจากส่วนผสมของบิดามารดาแล้ว ก็ยังมีกรรม กรรมหนุนส่งให้มาปฏิสนธิ คือให้มาเกิดนี่เอง

ทีนี้ส่วนที่เอาน้ำเชื้อของผู้ชายฉีดเข้าไปในรังไข่ของผู้หญิง วิทยาศาสตร์การแพทย์เขาก็รอจังหวะ รอจังหวะที่มารดามีประจำเดือน ซึ่งสมควรจะมีครรภ์ได้ พอฉีดน้ำเชื้อเข้าไปก็ไปผสมส่วนกับรังไข่ ก็เกิดเป็นตนเป็นตัวขึ้นมาอย่างที่กล่าวแล้ว อันนี้คัมภีร์ท่านว่าไว้อย่างนั้น ข้อมูลในทางปฏิบัติ มีคนอิสลามคนหนึ่งมาปฏิบัติสมาธิ อาตมะก็สอนว่า ถ้าคุณจะไปภาวนาพุทโธกลัวพระเจ้าคุณจะโกรธ ก็ไม่ต้อง จะไปนึกพระเจ้าของคุณ กลัวว่าพระพุทธเจ้าจะไม่โปรด ก็ไม่ต้อง ให้กำหนดสติกำหนดจิตเฉยอยู่ เขาไปปฏิบัติจิตของเขา ก็คิดจากปัจจุบันก็ย้อนไปถึงระยะที่เขาเริ่มรู้เดียงสา คิดกลับไปมา คิดกลับไปกลับมา ก็ยังไม่มีผลอันใดเกิดขึ้น ภายหลังเมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะพร้อม พอคิดไปถึงจุดใดที่เขาเคยละเมิดล่วงเกินคำสอนของพ่อแม่ จิตก็จะเตือนว่าสิ่งนี้ไม่ดี เจ้าเคยทำแล้ว อย่าทำซ้ำอีก ถ้าคิดถึงสิ่งใดมันเป็นความดีจิตก็จะเตือนว่า อันนี้เป็นของดีๆ ทำให้มากๆ

 

 

คำถาม :    มิจฉาสมาธิ ถ้าทำแล้วจะเสื่อมบ้างไหม เช่น  พวกคุณ พวกไสย เป็นต้น


หลวงพ่อพุธตอบ :  พวกคุณ  พวกไสย ฯลฯ  ผู้ฝึกยึดถือครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เป็นสำคัญ  ตราบใดที่เขายังเคารพนับถือครูบาอาจารย์  ผู้สอนวิชาให้แก่เขาไม่หมิ่นประมาท และไม่ประมาทวิชาความรู้ของตัวเอง  แม้จะเป็นเรื่องมิจฉาสมาธิผิดศีลธรรม   แต่ก็ยังใช้การได้    และวิชาอันนี้ก็ย่อมมีความเสื่อมความเจริญเป็นครั้งเป็นคราว ถ้าจะเทียบกับสมาบัติทางศาสนาพราหมณ์ เขาถือการบำเพ็ญสมาบัติ  ๘  เป็นหลักสำคัญในศาสนาของพราหมณ์  ผู้ที่บำเพ็ญเพียรบรรลุถึงสมาบัติ  ๘  แล้ว ยังมีเสื่อมมีเจริญ ถ้าไปทำผิดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ฌานก็เสื่อม  ทางไสยศาสตร์ก็เหมือนกัน ถ้าไปละเมิดครูหรือหมิ่นประมาทครู หรือไปละเมิดสิ่งที่ครูเขาห้าม     วิชาก็เสื่อมลงเป็นครั้งเป็นคราวในเมื่อเขาขอขมาและยกเครื่องสักการะบูชาขึ้นมาใหม่  วิชาก็กลับมามีประสิทธิภาพได้อีก ทีนี้เรื่องสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ  เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น  เราถือเอากิเลสของเราเป็นเกณฑ์  ทีนี้เรามีขอบเขตที่จะใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์  อิทธิฤทธิ์ซึ่งเกิดจากสมาธิถ้าเราจะใช้อะไรให้เกิดประโยชน์  เราเอาศีล  ๕  ข้อเป็นเครื่องวัด  ถ้าการใช้พลังจิตในทางที่ไม่ชอบธรรม เช่น อย่างพระทำสมาธิเก่งแล้ว  ใช้พลังจิตไปบังคับจิตของพวกเศรษฐีให้เอาเงินมาให้สร้างวัด อันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ    สิ่งใดที่เราใช้อำนาจทางใดทางหนึ่งไปกดขี่ข่มเหงน้ำใจคนซึ่งเขาไม่เกิดศรัทธาโดยเหตุผล  เป็นเรื่องการใช้สมาธิในทางที่ผิดเป็นมิจฉาสมาธิทั้งนั้น 

สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้ามีแต่มุ่งตรงต่อการฝึกฝนอบรมจิตใจให้เกิดความรู้ตามสายแห่งวิชาการในแง่ความรู้ยิ่งเห็นจริง เพื่อมุ่งตรงต่อความปฏิบัติชอบ เพื่อกำจัดกิเลส เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้นส่วนอื่น ๆ นั้นเป็นผลพลอยได้ วันหนึ่งอยู่ที่วัดมีเรื่องขำขัน มีโยมคนหนึ่งไปถามว่า อ่านประวัติหลวงพ่อแล้วว่าหลวงพ่อหัดภาวนามาตั้งแต่อายุ ๑๕ - ๑๖  ปี ภาวนามานานแล้วหลวงพ่อแสดงฤทธิ์ได้ไหม หลวงพ่อก็บอกว่าแสดงได้ เอ้าถ้าแสดงได้ลองแสดงฤทธิ์ให้ดูซิ ก็แสดงแล้วไง  ไหน……ไม่เห็นได้แสดง อาคารหลังนี้เกิดขึ้นมาด้วยบุญฤทธิ์ หลวงพ่อแสดงบุญฤทธิ์ เพราะหลวงพ่อมีคุณงามความดีเป็นที่เลื่อมใสของปวงชน เขาจึงมาสร้างกุฎิให้อยู่ อันนี้เรียกว่าบุญฤทธิ์ ฤทธิ์ตามความหมายของคุณเช่น ดำดินบินบนเหาะเหินเดินอากาศ มันจะเกิดประโยชน์อะไรสำหรับคุณ พระเทวทัตเก่งแสนเก่ง เข้าฌานแล้วอธิษฐานฤทธิ์  เอาเขาพระสุเมรุติดใต้ฝ่าพระบาท  เหาะไปขู่พระเจ้าอชาตศัตรูให้ยอมจำนน จนกระทั่งปลงพระชนม์พระราชบิดาจนสิ้นพระชนม์ ผลลัพธ์ก็คือว่าลงนรก เทวทัตผู้เป็นอาจารย์ก็ถูกธรณีสูบที่ซึ่งธรณีสูบพระเทวทัต หลวงพ่อยังได้ไปดูเลย ทีนี้สิ่งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในวัดนี้ทั้งหมดก็เกิดขึ้นด้วยบุญฤทธิ์  อย่างคุณถ้าสามารถที่จะสร้างบ้านสร้างช่องอยู่ได้เอง โดยลำพังตัวเองนั่นแหละฤทธิ์ของคุณ  คุณแสดงฤทธิ์ได้แล้ว ไม่เฉพาะแต่หลวงพ่อ คุณก็แสดงฤทธิ์ได้ บางสิ่งบางอย่างคุณแสดงได้เก่งกว่าอาตมาเสียอีก คุณแสดงฤทธิ์สร้างคนก็ได้ อาตมาสร้างคนไม่เป็น…….

 

 

คำถาม :   ขณะที่เราพิจารณากายคตาสติ เราพิจารณาถึงตัวเองก่อน พอพิจารณาเพ่ง ๆ ไปเราจะเป็นตัวของเรานั้นไม่มี เป็นของว่างเปล่า  เมื่อพิจารณาตัวเราเองเสร็จแล้วเราพิจารณาคนอื่น  เราก็จะเห็นในลักษณะเดียวกัน หรือเห็นแต่เพียงฆนะ  ความเป็นก้อนที่รวมกันอยู่เท่านั้น แท้จริงแล้วเขาไม่มีอะไรเลย เป็นของว่างเปล่าเมื่อเราพิจารณาเห็นอย่างนี้เป็นประจำต่อไปควรปฏิบัติอย่างไรครับ


หลวงพ่อพุธตอบ :   ต่อไปก็ควรปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำใครคล่องตัวต่อการพิจารณาในเรื่องอันใด ให้ยึดเอาอันนั้นแหละพิจารณาซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหละ แม้จะเป็นเรื่องเดียวตลอดชีวิตก็ตาม วันนี้เราอาจจะพิจารณารู้เพียงแค่ว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี เป็นเพียงฆนะ เป็นเพียงก้อนอันหนึ่ง  แท้ที่จริงก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เราพิจารณาในเรื่องนี้ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เข้า ความรู้ของเราจะเกิดขึ้นใน ๒ ลักษณะ ลักษณะอย่างหนึ่งกำหนดรู้เพียงแค่ว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงฆนะ  เป็นแค่ก้อน  รู้ชัดแจ้งเห็นจริง เป็นความรู้ขั้นสมถกรรมฐาน และอาศัยการพิจารณาอย่างเดียวนั้นแหละ เมื่อจิตปฏิวัติไปสู่ความรู้ เกิดอนิจจสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยง  แต่อาศัยอารมณ์อันเดียวนั้นแหละเป็นพื้นฐานให้เกิดความรู้เช่นนั้น จิตของเราก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาอย่าไปเข้าใจว่าเราพิจารณาอันนี้จนคล่องตัว ชำนิชำนาญจนรู้จริงเห็นจริงแล้วเราทิ้งเอาไว้ไม่ต้องนึกถึงมันอีกล่ะ เราหมดธุระหน้าที่ที่จะค้นคว้าพิจารณาเพราะเรารู้จริงเห็นจริงอย่าไปเข้าใจผิดอย่างนั้น ถ้ายิ่งรู้จริงเห็นจริงเท่าไรยิ่งเอามายกเป็นเรื่องพิจารณาให้มันคล่องตัว ความเปลี่ยนแปลงของจิตนั้นอยู่ตรงที่ว่าเรามีสติสัมปชัญญะดีขึ้น  แล้วมีการปล่อยวางกิเลสอารมณ์ได้ดีขึ้น  ส่วนความเป็นของจิตนั้นใครจะภาวนาถึงระดับใดก็ตาม จิตก็ย่อมเดินอยู่ในระดับของวิตก  วิจาร  ปีติ  สุข  เอกัคคตา  แม้แต่ภูมิของสามัญชนที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลอันใดก็ตาม ก็เดินอยู่ในขั้นของวิตก  วิจาร  ปีติ  สุข  เอกัคคตา เหมือนกัน แล้วเราจะเอาวิตกถึงเรื่องอะไรมาเป็นคู่ของใจก็ได้ ถ้าพิจารณาเรื่องนั้นทำให้เรารู้จริงเป็นจริงตามที่เราต้องการรู้ แล้วจิตของเราสามารถปล่อยวางกิเลสและอารมณ์ได้มาก เราถือว่าเป็นผลงานของเรา แล้วก็ยึดเอาอันนั้นแหละพิจารณาเรื่อยไป เราอาจจะอาศัยอารมณ์อย่างเดียวนี้ทำให้จิตของเราบรรลุโสดา  สกิทา  อนาคา  อรหันต์ได้.


Last Updated on Thursday, 17 September 2009 07:44