แสวงหาอย่างมีขอบเขต Print
Tuesday, 05 May 2009 02:20

ธรรมชาติของสังคม สังคมทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของโลกธรรม ความมีลาภ เสื่อมลาภ ความมียศ เสื่อมยศ มีสุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา สิ่งเหล่านี้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหา

เราจะแสวงหาอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นนักปฎิบัติ เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระองค์ให้เรามั่นคงในศีล ๕ ข้อ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมีอยู่ เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนความรู้สึกของเราให้มีความทะเยอทะยานในความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น แต่ความทะเยอทะยานนั้นต้องมีขอบเขต ขอบเขตคืออะไร ขอบเขตก็คือศีล ๕ ข้อนั่นเอง เพราะฉะนั้น ศีล ๕ ข้อเป็นศีลที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นตามกฎของธรรมชาติ

เรามีกายกับใจ ในกายของเรามีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นผู้บงการให้กายทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้วาจาพูดทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อใจเป็นผู้บงการแล้ว กายทำอะไรลงไป พูดอะไรออกไป ใจเขาจะเก็บเอาไว้โดยอัตโนมัติ เขาจะเก็บผลงานของเขาบันทึกเอาไว้ การทำบาปทำกรรมต่างๆ นี่ ที่ว่าเป็นบาปเป็นกรรม ควรสังวรระวัง ควรงดเว้น ควรระวังรักษา มีแต่ละเมิดศีล ๕ ข้อเท่านั้น ศีล ๕ ข้อ นี่เป็นกฎธรรมชาติ คนศาสนาพุทธทำก็บาป ศาสนาคริสต์ทำก็บาป คนไม่มีศาสนาทำก็บาป บาปตัวนี้ใครเป็นผู้แต่งใครเป็นผู้สร้างขึ้น ไม่มีใครแต่ง ไม่มีใครสร้าง เป็นสิทธิหน้าที่ของแต่ละบุคคลสร้างขึ้นมาเอง เพราะเป็นผลงานของตัวเองที่ทำลงไป ในเมื่อเป็นผลงานที่ทำลงไปโดยใจเป็นผู้สั่ง ใจเขาจะต้องเก็บผลงานนั้นไว้โดยกฎธรรมชาติของเขา อย่างสมมุติว่าเราไปฆ่าใครตายสักคนหนึ่ง เรานึกว่าเราทำเล่นๆ เราไม่ต้องการผลงาน มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะต้องวิ่งเข้ามา เป็นผลงานที่เก็บเอาไว้ภายในใจ

เข้าใจให้ถูก
ถ้าใครยังคิดว่าสมาธิต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาภาวนา คนนั้นยังโง่อยู่ ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าสมาธิเราทำได้ตลอดเวลาทุกลมหายใจ ผู้นั้นเข้าใจถูก สมาธิคือการกำหนดสติรู้อยู่ในชีวิตประจำวัน ในปัจจุบันตลอดเวลา เมื่อเรามีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราทำอะไร มันไม่ใช่ความประมาท เราปฏิบัติธรรมหามรุ่งหามค่ำ ผลลัพธ์ที่เราต้องการคือความมีสติอย่างเดียวเท่านั้น เราสร้างสติเพื่ออะไร เพื่อให้จิตของเรามีความเข้มแข้ง ถ้าเรามีสติแล้วจิตของเราแข็งเหมือนเหล็กกล้า

งานศพที่เป็นบุญ
งานศพที่ดีที่สุด..ที่ถูกต้องที่สุด เป็นบุญกับคนตายที่ลุด ส่วนอามิสก็ทำบุญอุทิศให้ ส่วนที่ดีที่สุดสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ แล้วจารีตประเพณีอะไรที่มันเอิกเกริกที่นอกเหนือไปจากทางบุญนั่น ถ้าเราตัดออกได้ยิ่งดี เช่น มหรสพมาฉลองในงานศพ อะไรต่างๆ เป็นต้น

ตรวจสอบด้วยเมตตาดีกว่านินทาว่าร้าย
การตรวจสอบไม่ใช่การลบหลู่ดูหมิ่น การตรวจสอบไม่ใช่เรื่องจับผิด ถ้าเห็นอะไรที่ผิดพลาดไม่สมควร เราพุทธบริษัทก็กล่าวตักเตือนกันได้ด้วยความเมตตาสงสาร แต่อย่าไปติฉินนินทา ถ้าติฉินนินทาแล้วบาป แต่ว่าการตักเตือนครูบาอาจารย์หรือผู้หลักผู้ใหญ่ อย่าไปตักเตือนโดยตรง ใช้วิธีถามปัญหา พระทำอย่างนั้นๆๆ ผิดหรือเปล่า ถ้ามันไปตรงกับความประพฤติของท่าน ถ้าท่านหวังดีต่อพระธรรมวินัย ท่านรู้สึกเอง คือว่าความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นี่ อย่าว่าแต่ปุถุชน พระอรหันต์ก็ยังผิด นิสัยวาสนาพระสาวกละไม่ได้เด็ดขาด มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น พระสารีบุตรอรหันต์เดินตามหลังพระพุทธเจ้าไป ทุกองค์เขาเดินลุยน้ำไป แต่ร่องน้ำมันพอกระโดดข้ามได้ พอถึงพระสารีบุตรกระโดดข้ามปั๊บ พระภิกษุกระโดดนี่มันเป็นอาบัติทุกกฏ ทีนี้พระพุทธเจ้าหันมาทัก สารีบุตรนี่เคยเป็นลิงมาแต่ชาติก่อน นิสัยลิงยังติดอยู่ ท่านก็เทศน์ว่า นิสัยวาสนาพระสาวกละไม่ได้เด็ดขาด มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

Last Updated on Tuesday, 05 May 2009 02:34